วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ประวัติความเป็นมาของโปรเจคเตอร์

ประวัติความเป็นมาของโปรเจคเตอร์ 
บทความน่ารู้ : เรื่องประวัติความเป็นมาของโปรเจคเตอร์ ที่นี่คือศูนย์รวมบทความที่น่าสนใจและให้ความรู้จากทุกมุมโลก เพื่อเป็นแหล่งความรู้สำหรับคนไทยทุกคน 
ประวัติความเป็นมาของโปรเจคเตอร์ 
           Magic Lantern หรือ Lanterna Magica นับว่าเป็นบรรพบุรุษยุคเริ่มแรกของเครื่องฉายภาพ เมื่อปี ค.ศ.1671 นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน Athanasius Kircher ได้อธิบายแนวคิดของอุปกรณ์สำหรับฉายภาพด้วยหลอดภาพที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อ เพลิง เลนส์และภาพที่ถูกวาดลงบนแผ่นกระจกเพื่อฉายภาพไปบนจอภาพ อีกหลายปีต่อมาแนวคิดนี้ก็ได้ถูกพัฒนาและปรับปรุงโดยนักฟิสิกส์จนกลายเป็น อุปกรณ์ฉายภาพขึ้น ในสมัยนั้นการแสดงการฉายภาพด้วย Magic Lantern ที่เป็นที่นิยมกันในทวีปยุโรปเรียกว่า Phantasmagoria ในศตวรรษที่ 19 ขณะที่การแสดง Phantasmagoria กำลังเป็นที่เฟื่องฟูผู้ที่ทำการฉายภาพ (Projectionists) จะเดินทางไปตามสถานที่ต่างพร้อมด้วยเครื่องฉายภาพ Magic Lantern ของเขาและภาพสไลด์เป็นจำนวนมาก หนึ่งในการแสดงที่มีชื่อเสียง The Rat Swallower (การ์ตูนยุคเริ่มแรกถูกฉายโดย Magic Lantern) เป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆเป็นอย่างมาก ต่อมาเมื่อมีการคิดค้นเทคนิคการถ่ายภาพได้สำเร็จก็ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยน แปลงครั้งใหญ่ขึ้นกับภาพถ่ายและภาพสไลด์ มีการนำเนอภาพสไลด์ของที่ดิน ขอบเขตพื้นที่สำคัญของประเทศต่างๆและภาพบุคคล ภาพถ่ายในลักษณะต่างๆมีความเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้นและมีออกมาวางจำหน่าย อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่า Magic Lantern และสไลด์จะประสพความสำเร็งอย่างสูงในยุคศตวรรษที่ 19 แต่ต่อมาก็ได้เสื่อมความนิยมลงเมื่อมีการคิดค้นประดิษฐ์ภาพเคลื่อนไหว (Motion Picture) เกิดขึ้น

          ในช่วงยุคทศวรรษ 1950 ได้มีการคิดค้นประดิษฐ์อุปกรณ์สำหรับฉายภาพที่มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้งมี ความสามารถมากขึ้นอย่างเครื่องฉายภาพทึบแสง (Opaque Projector) เครื่องฉายภาพจากแผ่นใส (Over Head Projector หรือเรียกย่อว่า OHP) และเครื่องฉายภาพสไลด์ (Slide Projector) เริ่มแรกเครื่องฉายภาพทึบแสง (Opaque Projector) ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยใช้แหล่งกำเนิดแสงชนิด Limelight เครื่องฉายภาพชนิดนี้ถูกใช้ในการฉายภาพจากหนังสือหรือภาพวาด เครื่องฉายภาพทึบแสง (Opaque Projector) ถูกผลิตและจำหน่ายเพื่อเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการขยายภาพให้ใหญ่ขึ้นเพื่อ ฉายไปบนจอรับภาพสำหรับการบรรยายหรือการอภิปราย เครื่องฉายภาพสไลด์ (Slide Projector) อุปกร์สำหรับฉายภาพที่ประกอบด้วยสี่ส่วนใหญ่ๆด้วยกัน แหล่งกำเนิดแสง ส่วนที่ใช้สะท้อนแสงไปยังแผ่นสไลด์ ส่วนที่ใช้แผ่นสไลด์และเลนส์ แสงจะถูกส่องผ่านแผ่นสไลด์และเลนส์ทำให้เกิดเป็นภาพขึ้นที่จอรับภาพ เครื่องฉายภาพสไลด์ (Slide Projector) เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในช่วงทศวรรษ 1950 ถึงทศวรรษ 1960 เครื่องฉายภาพจากแผ่นใส (Over Head Projector หรือเรียกย่อว่า OHP) เครื่องแรกถูกนำมาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวินิจฉัยในการทำงานของตำรวจและ ถูกใช้เป็นครั้งแรกในกองทัพสหรัฐอเมริกาช่วงปี ค.ศ.1945 ซึ่งเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากนั้น OHP ก็ได้มีการใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้นในวงการการศึกษาและธุรกิจในช่วงทศวรรษ 1950 และทศวรรษ 1960 โดยผู้ผลิต OHP ในช่วงแรกๆคือบริษัท 3M

          จากความร่วมมือของบริษัททางฝั่งยุโรปและบริษัทในประเทศญี่ปุ่นในช่วงปลาย ทศวรรษ 1970 ได้มีการพัฒนาสื่อสำหรับบันทึกข้อมูลภาพและเสียงโดยใช้แถบแม่เหล็กเรียกว่า วีดีโอเทป มีการบันทึกข้อมูลหลากหลายลงในวีดีโอเทปรวมทั้งภาพยนตร์โดยฉายออกทางจอ มอนิเตอร์ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ฉายกับโทรทัศน์ แต่เนื่องจากการฉายภาพออกทางโทรทัศน์ให้ภาพขนาดเล็กไม่สามารถรองรับผู้ชม จำนวนมากได้จึงได้มีการพัฒนาอุปกรณ์ที่จะสามารถฉายภาพขนาดใหญ่ขึ้น 

เครื่องฉายภาพวีดีโอ (Video Projector) อุปกรณ์ ฉายภาพจากสัญญาณวีดีโอและฉายภาพไปบนจอรับภาพ (Projection Screen)

          เครื่องฉายภาพวีดีโอในยุคแรกใช้เทคโนโลยี CRT (Cathode Ray Tube) ในการสร้างภาพโดยภาพจะถูกปรับความคมชัดและปรับขยายขนาดด้วยเลนส์เพื่อฉายออก ไปที่จอรับภาพ เครื่องฉายภาพ CRT (CRT Projector) รุ่นใหม่สามารถฉายภาพสีโดยใช้ CRT สามสี (สีแดง สีเขียงและสีน้ำเงิน) และใช้เลนส์แยกต่างห่างสำหรับแต่ละสีในการฉายภาพ เครื่องฉายภาพ CRT ที่ได้รับความนิยมมีหลายยี่ห้อเช่นยี่ห้อ Barco , Electrohome , Mitsubishi , NEC , Panasonic และ Sony เครื่องฉายภาพ CRT เสื่อมความนิยมลงเรื่อยๆอันเนื่องมาจากขนาดเครื่องที่ค่อนข้างใหญ่ใน ปัจจุบันยังมีการผลิตเครื่องฉายภาพชนิดนี้อยู่บ้างแต่ก็สู้เครื่องฉายภาพ รุ่นใหม่ๆที่ใช้เทคโนโลยี DLP , LCD หรือ LCOS ไม่ได้

           เครื่องฉายภาพ LCD (LCD Projector) ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยนักประดิษฐ์ชาวนิวยอร์กชื่อ Gene Dolgoff โดยมีแนวคิดที่จะสร้างเครื่องฉายภาพวีดีโอที่สามารถฉายภาพได้สว่างมากกว่า เครื่องฉายภาพ CRT แบบเก่า แนวคิดของเขาใช้องค์ประกอบเดียวกันกับเทคโนโลยี Light Valve (เทคโนโลยี Light Valve เป็นเทคโนโลยีที่แยกการสร้างภาพและแหล่งกำเนิดแสงออกจากกัน เครื่องฉายที่ใช้เทคโนโลยี Light Valve เช่นเครื่องฉายภาพของ Eidophor ซึ่งเป็น Television Projector , Barco และ JVC) ในการควบคุมปริมาณแสง และแยกแหล่งกำเนิดภาพกับแหล่งกำเนิดแสงออกจากกันทำให้สามารถใช้หลอดภาพที่มี พลังงานสูงสามารถให้ความสว่างมากขึ้น ในช่วงปี ค.ศ.1971 หลังจากที่ได้ลองใช้วัสดุหลายชนิดจนในที่สุดเขาก็ตกลงใช้ Liquid Crystal ในการควบคุมแสง เขาใช้เวลาอีกหลายปีในการพัฒนาจนกระทั่งในปี ค.ศ.1984 เขาก็ได้ใช้ Liquid Crystal Display (LCD) ในการสร้างโปรเจคเตอร์แอลซีดี (LCD Projector) เครื่องแรกของโลกขึ้น หลังจากประสบความสำเร็จกับโปรเจคเตอร์เครื่องแรกเขาก็สังเกตพบปัญหาในเรื่อง ของแสงสว่างที่ลดลงและรอยต่อของพิกเซลที่มีขนาดใหญ่ ดังนั้นเขาจึงคิดค้นระบบออพทิคเคิลแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นซึ่งทำให้ โปรเจคเตอร์มีความสว่างมากขึ้นและลดรอยต่อของพิกเซลลง Gene Dolgoff ได้จดสิทธิบัตรโปรเจคเตอร์ของเขาและก่อตั้งบริษัท Projectavision ซึ่งเป็นบริษัท LCD Projector แห่งแรกของโลกขึ้นในปี ค.ศ.1988 และในฐานะอนุกรรมการของ National Association Of Photographic (NAPM) Dolgoff และผู้ช่วยของเขา Leon Shapiro ได้เผยแพร่มาตรฐาน ANSI เพื่อใช้วัดความสว่าง (Brightness) , Contrast และความละเอียด (Resolution) สำหรับโปรเจคเตอร์ 

          ในยุคแรกระบบ LCD ถูกนำมาใช้ร่วมกับ Overhead Projector ตัวระบบ LCD นั้นไม่มีแหล่งกำเนิดแสงของตัวเองเพียงแต่เป็นระบบที่ใช้ในการสร้างภาพและ อาศัยแหล่งกำเนิดแสงจาก Overhead Projector เนื่องจากในการฉายภาพจำเป็นจะต้องใช้อุปกรณ์ถึงสองชิ้นคือตัวระบบ LCD ที่ใช้ในการสร้างภาพ (ระบบ LCD ที่ใช้ในการสร้างภาพหรือเรียกว่า LCD Panel ซึ่งในขณะนั้นมีขนาดค่อนข้างใหญ่) และส่วนที่ใช้ในการกำเนิดแสงคือ Overhead Projector ซึ่งใช้ในการฉายภาพไปยังจอรับภาพทำให้ไม่สะดวกในการใช้งานจนในที่สุดก็ได้ เสื่อมความนิยมและเลิกผลิตไป

          เครื่องฉายภาพในยุคต่อมาเป็นเครื่องฉายภาพที่ใช้เทคโนโลยีชนิด LCD แผ่นเดียวมีความละเอียดไม่สูงนัก และให้ภาพที่ค่อนข้างหยาบมีความสว่างไม่มากนัก ในสมัยนั้นเครื่องฉายภาพยังให้ความละเอียดเป็น VGA (640 x 480 พิกเซล) หลอดภาพที่ใช้ก็ยังเป็นหลอดภาพชนิด Halogen ซึ่งให้แสงที่มีสีค่อนข้างเหลืองทำให้ได้ภาพที่มีสีผิดเพี้ยนไป ต่อมาภายหลังจึงได้หันมาใช้หลอดภาพชนิด Metal Halide ซึ่งให้แสงสีขาวมากกว่าทำให้ได้ภาพที่มีสีสันสวยงามขึ้น เครื่องฉายภาพ LCD ในสมัยนั้นมีเช่นเครื่องฉายภาพของ Eiki , Sharp , ASK , InFocus เป็นต้น 

          ยุคแห่งเครื่องฉายภาพชนิด LCD สามแผ่น (3LCD Projector) เครื่องฉายภาพชนิดนี้มีกระบวนการฉายภาพเริ่มจากการส่องแสงของหลอดภาพ (Metal Halide Lamp) ไปยังปริซึมเพื่อแยกแสงและส่งไปยังแผ่น Poly Silicone Panels สามแผ่นแต่ละแผ่นมีสีแดง สีเขียวและสีน้ำเงิน ในขณะที่แสงส่องผ่าน Panels ซึ่งมีพิกเซลอยู่เป็นจำนวนมากพิกเซลเหล่านี้สามารถเปิด (เพื่อปล่อยให้แสงผ่านไปได้) หรือปิด (จำกัดไม่ให้แสงส่องผ่านได้) เพื่อทำให้เกิดเฉดสีได้เป็นจำนวนมากในการฉายภาพ เครื่องฉายภาพ 3LCD ให้ภาพที่มีสีสันสวยงามและมีความละเอียดสูงขึ้นเป็น SVGA (800 x 600 พิกเซล) และ XGA (1024 x 768 พิกเซล) เนื่องจากเทคโนโลยี 3LCD ใช้แผ่น Panel ซึ่งมีขนาดเล็กแผ่น LCD Panel ความละเอียด SVGA (800 x 600 พิกเซล) หรือ XGA (1024 x 768 พิกเซล) มีขนาดเพียง 3 – 4 นิ้วซึ่งเท่านั้นต่างกับ LCD ชนิดแผ่นเดียวในสมัยแรกที่ความละเอียดเดียวกันนี้ต้องใช้แผ่น LCD Panel ขนาดถึง 10.4 นิ้วขึ้นไป เครื่องฉายภาพชนิด 3LCD Projector ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงและมีผลิตออกมาจำหน่ายจนถึงปัจจุบัน

          Digital Micromirror Device (DMD) คืออุปกรณ์ Optical Semiconductor ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญสำหรับระบบการฉายภาพที่ใช้เทคโนโลยี DLP (Digital Light Processing) ซึ่งคิดค้นขึ้นโดย Dr. Larry Hornbeck และ Dr. William E. Nelson แห่ง Texas Instruments (TI) ในปี ค.ศ.1987 เทคโนโลยี DLP ได้ถูกนำมาใช้กับโปรเจคเตอร์และเรียกว่า DLP Projector เทคโนโลยี DLP นี้สร้างภาพโดยใช้การสะท้อนแสง (Reflect) ซึ่งแตกต่างจากเทคโนโลยี LCD ที่ใช้การส่องผ่านแสง (Transmissive) เทคโนโลยี DLP มีองค์ประกอบในการสร้างภาพที่สำคัญคือส่วนที่ใช้สร้างภาพคือชิพ DMD ส่วนที่ใช้สร้างสีคือวงล้อสี (Color Wheel) ส่วนที่ใช้กำเนิดแสงและเลนส์ ชิพที่ใช้ในการสร้างภาพ (Digital Micromirror Device) หรือเรียกว่าชิพ DMD เป็นชิพที่บันจุไว้ด้วยกระจกเงาขนาดเล็กเป็นจำนวนมากโดยกระจกเงาแต่ละชิ้นจะ สร้างให้เกิดเป็นพิกเซลของภาพขึ้น จำนวนกระจกเงาบนชิพ DMD จะมีจำนวนเท่าๆกับความละเอียดในการฉายภาพเช่น SVGA (800 x 600 พิกเซล) , XGA (1024 x 768 พิกเซล) , WXGA (1280 x 720 พิกเซล) และ HD (1920 x 1080 พิกเซล) แผ่นกระจกเงาเล็กๆบนชิพ DMD แต่ละชิ้นจะสามารถเคลื่อนไหวเอียงได้โดยสามารถปรับมุมได้ 10 – 12 องศา ในการฉายภาพแสงจากหลอดภาพจะส่องผ่านไปยังวงล้อสีเพื่อสร้างเป็นสีต่างๆและจะ ส่งไปยังชิพ DMD และสะท้องแสงไปที่เลนส์ทำให้เกิดเป็นภาพขึ้นมา ทาง Texas Instruments ได้พัฒนาระบบการฉายภาพแบบ DLP ขึ้นมาแต่ไม่ได้เป็นผู้ผลิต DLP Projector เอง Texas Instruments ผลิตระบบ DLP ขึ้นมาในลักษณะเป็นชุดอุปกรณ์หลักซึ่งมีส่วนประกอบคือหลอดภาพ วาล้อสี ชิพ DMD และเลนส์อยู่ในชุดเดียวกันจากนั้นก็ส่งต่อให้กับบริษัทผู้ผลิตโปรเจคเตอร์นำ ไปผลิตเป็นโปรเจคเตอร์โดยทำการออกแบบส่วนประกอบอื่นๆขึ้นเอง โปรเจคเตอร์ DLP ที่เป็นที่รู้จกกันเช่นโปรเจคเตอร์ของ InFocus , Optoma และ Benq เป็นต้น 

          เครื่องฉายภาพที่ใช้เทคโนโลยี DLP ชิพเดียว (Single-Chip DLP Projector) โปรเจคเตอร์ชนิดนี้สีจะถูกสร้างขึ้นจากวงล้อสี (Color Wheel) โดยการวางตัววงล้อสีไว้ระหว่างหลอดภาพและชิพ DMD วงล้อสีช่วงแรกมักจะถูกแบ่งเป็นสี่สีคือสีแดง สีเขียว สีน้ำเงินและส่วนที่ใช้สำหรับเพิ่มความสว่างซึ่งอาจใช้เป็นสีขาวหรือสี เหลือง ในขณะทำงานวงล้อสีจะมีการหมุนอยู่ตลอดเวลาในเครื่องรุ่นแรกๆวงล้อสีมีการ หมุนเพียงหนึ่งรอบต่อหนึ่งเฟรมภาพ เครื่องรุ่นต่อมามีการหมุนของวงล้อสีเพิ่มขึ้นเป็นสอบและสามรอบต่อเฟรมภาพใน บางรุ่นมีการสร้างสีซ้ำวงล้อสีก็ต้องหมุนซ้ำสองครั้งทำให้วงล้อสีหมุนถึงหก รอบต่อเฟรมภาพ โปรเจคเตอร์ DLP มีปัญหาในเรื่อง Rainbow Effect ซึ่งเกิดจากการใช้วงล้อสีในการสร้างสีดังนั้นในการแก้ปัญหาจึงได้มีการเพิ่ม ความเร็วในการหมุนของวงล้อสีและเพิ่มสีของวงล้อสีให้มากขึ้น เครื่องบางรุ่นใช้วงล้อสีถึงหกสี (RGBRGB) และใช้วงล้อสีที่หมุนสี่รอบต่อเฟรม ปัญหา Rainbow Effect เป็นปัญหาที่เกิดจากสายตาร่วมด้วยในบางรายก็เห็นเป็นสีรุ้งขึ้นมาขณะที่ชม ภาพแต่ในบางรายก็ไม่เห็น Rainbow Effect เลย โดยรวมแล้วโปรเจคเตอร์ DLP ชิพเดียวให้ภาพที่สวยงามคมชัด มีรอยต่อของพิกเซลน้อยมากและให้ Contrast ได้สูงจึงเป็นที่นิยมใช้กันในระบบโฮมเธียเตอร์

          เครื่องฉายภาพที่ใช้เทคโนโลยี DLP สามชิพ (Three-Chip DLP Projector) ในเครื่องฉายภาพ DLP สามชิพใช้ปริซึม (Prism) ในการแยกแสงที่มาจากหลอดภาพเป็นสามสีคือสีแดง สีเขียวและสีน้ำเงิน จากนั้นก็จะส่งไปยังชิพ DLP สามตัวและรวมสีต่างเข้าด้วยกันส่งต่อไปยังเลนส์เพื่อฉายออกมาเป็นภาพ ด้วยกระบวนการนี้ทำให้สามารถแก้ปัญหาในเรื่องสีของเครื่องฉายภาพชนิด DLP ชิพเดียวได้เนื่องจากสีแต่ละสีถูกแยกออกจากกันทำให้ไม่มี Rainbow Effect ให้เห็นอีกต่อไป โปรเจคเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยี DLP สามชิพซึ่งใช้สำหรับฉายภาพตามโรงภาพยนตร์สามารถสร้างสีได้มากถึง 35 ล้านล้านสี (35,000,000,000,000 Colors) ทีเดียว 

          เดือน มีนาคม ค.ศ.2008 ทาง Texas Instruments ประกาศว่าได้เริ่มผลิตชิพ DPP1500 ที่มีขนาดเล็กมากเพื่อใช้กับโปรเจคเตอร์ขนาดเล็กและอุปกรณ์อื่นๆเช่นติดตั้ง ในโทรศัพท์มือถือหรือเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยผลิตภัณฑ์นี้จะเริ่มออกวางจำหน่ายทั่วโลกในช่วงต้นปี ค.ศ.2009

          Liquid Crystal On Silicon (LCOS) คือเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้กับเครื่องฉายภาพ เทคโนโลยีนี้ใช้การสะท้อนแสง (Reflective) ในการสร้างภาพเช่นเดียวกับเทคโนโลยี DLP แต่ใช้ Liquid Crystal แทนกระจกเงา ระบบการฉายภาพของ LCOS แบ่งออกเป็น Single-Panel และ Three-Panel โดยในระบบ Three-Panel จะใช้ชิพสร้างภาพสามตัวและใช้ชิพหนึ่งตัวต่อหนึ่งสีส่วนระบบ Single-Panel จะใช้ชิพหนึ่งตัวกับสีสามสีและใช้วงล้อสีเช่นเดียวกับระบบ DLP เทคโนโลยี LCOS สามารถให้ภาพได้ขนาดใหญ่ด้วยความละเอียดที่สูงอย่างไรก็ตามก็เป็นเทคโนโลยี ที่ยุ่งยากในการผลิตในช่วงปีสองปีที่ผ่านมาบริษัทหลายบริษัทได้ยุติธุรกิจ การผลิต LCOS ของตนลงซึ่งในจำนวนนี้มีบริษัท Philips , Microdisplay Corporation , Spatialight , Syntax-Brillian 

           บริษัทที่ประสบความสำเร็จในเทคโนโลยี LCOS อย่างบริษัท JVC ได้นำเอาเทคโนโลยี LCOS ไปรวมกับเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วของตนคือ Image Light Amplifier (ILA) และใช้ชื่อว่า D-ILA (Digital Direct Drive Image Light Amplifier) JVC ถือว่าเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องฉายภาพที่ให้ความละเอียดสูงและมีการ พัฒนาเทคโนโลยี D-ILA มาอย่างต่อเนื่อง เทคโนโลยี D-ILA ให้ความสว่างได้สูงและมีความละเอียดสูงเครื่องฉายภาพความละเอียดสูงคลื่นลูก ใหม่อย่าง Hughes-JVC-ILA Super Projector ถูกผลิตขึ้นในปี ค.ศ.1990 เครื่องฉายภาพ JVC G1000 D-ILA Projector ถูกผลิตขึ้นในปี ค.ศ.1998 และถือเป็นโปรเจคเตอร์ LCOS เครื่องแรกของโลกโดยมีการออกแบบตัวเครื่องให้กะทัดรัดขึ้นและมีความละเอียด สูง เครื่องฉายภาพอย่าง QX-1 (QXGA 2048 x 1536 พิกเซล) , SX-21 (SXGA+ 1400 x 1050 พิกเซล) , HX-1 (1400 x 780 พิกเซล) และ HD-2K (HD 1920 x 1080 พิกเซล) ก็ได้ถูกผลิตตามออกมา ส่วนทางบริษัท Sony ก็ได้ดัดแปลงเทคโนโลยี LCOS และนำไปใช้กับเครื่องฉายภาพของตนในชื่อของ SXRD (Silicon X-tal Reflect Display) และในปี ค.ศ.2004 ทางโซนี่ก็ได้เปิดตัว QUALIA 004 Projector เครื่องฉายภาพที่ใช้เทคโนโลยี SXRD เครื่องแรก บริษัท Intel ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิพรายใหญ่ของโลกก็มีความสนใจในเทคโนโลยี LCOS เช่นกันโดยได้ประกาศโครงการในการผลิตชิพ LCOS ราคาถูกเพื่อใช้กับจอ Flat Panel แต่โครงการนี้ก็ตกไปจนกระทั่งในปี ค.ศ.2005 ทาง Sony ก็ได้เปิดตัวโปรเจคเตอร์ VPL-VW100 ซึ่งใช้เทคโนโลยี SXRD 3 chip LCOS โดยโปรเจคเตอร์มีความละเอียด HD (1920 x 1080 พิกเซล) และมีค่า Contrast ที่สูงถึง 15000:1 เทคโนโลยี LCOS เป็นเทคโนโลยีที่ดีแต่ยังติดปัญหาในเรื่องราคาที่ยังค่อนข้างสูงอยู่จึงยัง มีการผลิตโปรเจคเตอร์ LCOS ออกมาไม่มากนัก

          ปัจจุบันได้มีการนำเอา LED (Light-Emitting Diode) ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแสงที่มีขนาดเล็กมาใช้เป็นแหล่งกำเนิดแสงให้กับโปรเจค เตอร์ การนำเทคโนโลยี LED มาใช้ในการฉายภาพจะลดปัญหาในเรื่องความร้อนและทำให้ขนาดเครื่องของโปรเจค เตอร์มีขนาดเล็กด้วย ข้อดีของโปรเจคเตอร์ที่ใช้แหล่งกำเนิดแสง LED คือใช้พลังงานน้อยโปรเจคเตอร์จึงทำงานโดยไม่ร้อน โปรเจคเตอร์จะทำงานโดยมีเสียงขณะทำงานต่ำเนื่องจากไม่ต้องติดตั้งพัดลมระบาย ความร้อนสำหรับตัวเครื่องและหลอดภาพ ขณะที่หลอดภาพของโปรเจคเตอร์ทั่วไปมีอายุเฉลี่ยการใช้งานประมาณ 2000 – 3000 ชั่วโมงแต่ถ้าใช้ LED จะมีอายุการใช้งานเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าทีเดียวแต่ข้อเสียก็คือให้ความสว่าง ไม่สูงเมื่อเทียบกับหลอดภาพของโปรเจคเตอร์ LED ถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ทำให้โปรเจคเตอร์มีขนาดเล็กลงเทคโนโลยีอย่าง DLP ที่ใช้วงล้อสี (Color Wheel) และชิพที่มีกระจกเงา (DMD Chip) หรือเทคโนโลยี LCD ที่ใช้แผ่น LCD Panel สามสี (สีแดง สีเขียวและสีน้ำเงิน) รวมถึงเทคโนโลยี LCOS สามารถใช้แหล่งกำเนิดแสง LED ได้ โปรเจคเตอร์ขนาดเล็กอย่าง Toshiba TDP-FF1 , Mitsubishi PocketProjector , Samsung SP-P31ME ใช้เทคโนโลยี LED ขณะนี้ทาง Texas Instrument ได้ออกแบบโปรเจคเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยี PhlatLight LED เป็นแหล่งกำเนิดแสงโดยคาดว่าจะให้ความสว่างได้ถึง 500 – 1000 Lumens และใช้ชิพที่ให้ความละเอียด 1080p ให้ Contrast ได้สูงถึง 500,000:1 ดูเหมือนว่าเทคโนโลยี LED กับโปรเจคเตอร์ได้พัฒนาก้าวหน้าไปอย่างมากโดยเฉพาะในส่วนของเทคโนโลยี DLP เราคงจะต้องคอยจัดตาเทคโนโลยีหลอดภาพชนิดนี้อย่างใกล้ชิดต่อไปในอนาคต ผู้ผลิต DLP Projector หลายรายมีโครงการที่จะผลิตโปรเจคเตอร์ DLP ที่ใช้เทคโนโลยี PhlatLight LED เป็นแหล่งกำเนิดแสงซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นคือ Optoma โดยคาดว่าจะส่งโปรเจคเตอร์ของตนออกสู่ตลาดในช่วงต้นปี ค.ศ.2009 นี้ Magic Lantern หรือ Lanterna Magica นับว่าเป็นบรรพบุรุษยุคเริ่มแรกของเครื่องฉายภาพ เมื่อปี ค.ศ.1671 นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน Athanasius Kircher ได้อธิบายแนวคิดของอุปกรณ์สำหรับฉายภาพด้วยหลอดภาพที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อ เพลิง เลนส์และภาพที่ถูกวาดลงบนแผ่นกระจกเพื่อฉายภาพไปบนจอภาพ อีกหลายปีต่อมาแนวคิดนี้ก็ได้ถูกพัฒนาและปรับปรุงโดยนักฟิสิกส์จนกลายเป็น อุปกรณ์ฉายภาพขึ้น ในสมัยนั้นการแสดงการฉายภาพด้วย Magic Lantern ที่เป็นที่นิยมกันในทวีปยุโรปเรียกว่า Phantasmagoria ในศตวรรษที่ 19 ขณะที่การแสดง Phantasmagoria กำลังเป็นที่เฟื่องฟูผู้ที่ทำการฉายภาพ (Projectionists) จะเดินทางไปตามสถานที่ต่างพร้อมด้วยเครื่องฉายภาพ Magic Lantern ของเขาและภาพสไลด์เป็นจำนวนมาก หนึ่งในการแสดงที่มีชื่อเสียง The Rat Swallower (การ์ตูนยุคเริ่มแรกถูกฉายโดย Magic Lantern) เป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆเป็นอย่างมาก ต่อมาเมื่อมีการคิดค้นเทคนิคการถ่ายภาพได้สำเร็จก็ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยน แปลงครั้งใหญ่ขึ้นกับภาพถ่ายและภาพสไลด์ มีการนำเนอภาพสไลด์ของที่ดิน ขอบเขตพื้นที่สำคัญของประเทศต่างๆและภาพบุคคล ภาพถ่ายในลักษณะต่างๆมีความเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้นและมีออกมาวางจำหน่าย อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่า Magic Lantern และสไลด์จะประสพความสำเร็งอย่างสูงในยุคศตวรรษที่ 19 แต่ต่อมาก็ได้เสื่อมความนิยมลงเมื่อมีการคิดค้นประดิษฐ์ภาพเคลื่อนไหว (Motion Picture) เกิดขึ้น 

          ในช่วงยุคทศวรรษ 1950 ได้มีการคิดค้นประดิษฐ์อุปกรณ์สำหรับฉายภาพที่มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้งมี ความสามารถมากขึ้นอย่างเครื่องฉายภาพทึบแสง (Opaque Projector) เครื่องฉายภาพจากแผ่นใส (Over Head Projector หรือเรียกย่อว่า OHP) และเครื่องฉายภาพสไลด์ (Slide Projector) เริ่มแรกเครื่องฉายภาพทึบแสง (Opaque Projector) ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยใช้แหล่งกำเนิดแสงชนิด Limelight เครื่องฉายภาพชนิดนี้ถูกใช้ในการฉายภาพจากหนังสือหรือภาพวาด เครื่องฉายภาพทึบแสง (Opaque Projector) ถูกผลิตและจำหน่ายเพื่อเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการขยายภาพให้ใหญ่ขึ้นเพื่อ ฉายไปบนจอรับภาพสำหรับการบรรยายหรือการอภิปราย เครื่องฉายภาพสไลด์ (Slide Projector) อุปกร์สำหรับฉายภาพที่ประกอบด้วยสี่ส่วนใหญ่ๆด้วยกัน แหล่งกำเนิดแสง ส่วนที่ใช้สะท้อนแสงไปยังแผ่นสไลด์ ส่วนที่ใช้แผ่นสไลด์และเลนส์ แสงจะถูกส่องผ่านแผ่นสไลด์และเลนส์ทำให้เกิดเป็นภาพขึ้นที่จอรับภาพ เครื่องฉายภาพสไลด์ (Slide Projector) เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในช่วงทศวรรษ 1950 ถึงทศวรรษ 1960 เครื่องฉายภาพจากแผ่นใส (Over Head Projector หรือเรียกย่อว่า OHP) เครื่องแรกถูกนำมาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวินิจฉัยในการทำงานของตำรวจและ ถูกใช้เป็นครั้งแรกในกองทัพสหรัฐอเมริกาช่วงปี ค.ศ.1945 ซึ่งเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากนั้น OHP ก็ได้มีการใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้นในวงการการศึกษาและธุรกิจในช่วงทศวรรษ 1950 และทศวรรษ 1960 โดยผู้ผลิต OHP ในช่วงแรกๆคือบริษัท 3M

         จากความร่วมมือของบริษัททางฝั่งยุโรปและบริษัทในประเทศญี่ปุ่นในช่วงปลาย ทศวรรษ 1970 ได้มีการพัฒนาสื่อสำหรับบันทึกข้อมูลภาพและเสียงโดยใช้แถบแม่เหล็กเรียกว่า วีดีโอเทป มีการบันทึกข้อมูลหลากหลายลงในวีดีโอเทปรวมทั้งภาพยนตร์โดยฉายออกทางจอ มอนิเตอร์ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ฉายกับโทรทัศน์ แต่เนื่องจากการฉายภาพออกทางโทรทัศน์ให้ภาพขนาดเล็กไม่สามารถรองรับผู้ชม จำนวนมากได้จึงได้มีการพัฒนาอุปกรณ์ที่จะสามารถฉายภาพขนาดใหญ่ขึ้น 


ที่มาจาก : learners.in.th ; http://www.thaibizcenter.com/

วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556

Pro Display Elegance – Change your view


บริษัท พานาโซนิค ซิว เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดงาน Open House นำเสนอโซลูชั่นต่างๆ ของสินค้าได้แก่ โปรเจคเตอร์ ซิสเต็มส์ พลาสม่า แอลซีดี และชุดประชุมทางไกล ( HDVC ) สำหรับลูกค้า และผู้สนใจ ในวันที่ 27 มีนาคม 2556 ภายใต้ชื่องาน Pro Display Elegance – Change your view โดยจัดขึ้น ณ Crystal Design Center กำหนดเวลาลงทะเบียน 15.00  น.
                                ในงาน Panasonic Professional Display Open House 2013 ได้แบ่งออกเป็น 5 โซน ดังนี้
                โซนที่ 1 Pro Digital Signage Display เป็นโซนจำลองรูปแบบสนามบิน และการใช้งานในรูปแบบ Digital ซึ่งเริ่มนิยมมากขึ้น โดยทางพานาโซนิคได้จัดเตรียมสินค้าประเภทจอภาพ LED ขนาด 80 นิ้ว มีน้ำหนักเบา และ จอ 55 นิ้ว ที่มีขอบบางเพียง 2.65 มม.
                โซนที่ 2 Pro Stage Display พบกับแฟชั่นโชว์รูปแบบใหม่ กับโปรเจคเตอร์ 20,000 lm ที่สามารถฉายภาพในแนวตั้ง พร้อมเปิดตัวโปรเจคเตอร์ PT-DZ13 series และ Digital link ที่สามารถเชื่อมต่อกับสัญญาณ แบบดิจิตอลได้ไกลถึง 100 เมตร
                โซนที่ 3 Pro Museum Display แสดงการเชื่อมต่อโปรเจคเตอร์หลายๆ เครื่องโดยปราศจากขอบในแบบ 360 องศา และเปิดตัว SSI Projector (Lamp Free) รุ่น Hi end / Full HD
                โซนที่ 4 Pro Education Display เป็นโซนห้องเรียนอัจฉริยะ โดยพานาโซนิคมีทั้ง Interactive มอนิเตอร์ และชุดประชุมทางไกลแบบ FHD
                โซนที่ 5 Pro Mapping Display พานาโซนิคขอนำเสนอ การ Mapping ลงบนตึก ท่านจะได้ตื่นตาตื่นใจกับ Content แบบ 3D

สำรองที่นั่ง ติดต่อ 085-626-1656

วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

โปรเจคเตอร์มาตรฐาน


PT-LB2VEA
  • ให้ความสว่างสูงถึง 2600 ANSI lumens
  • หลอดไฟมีอายุการใช้งาน 3,000 ชั่วโมง (Standard Mode) และ 5,000 ชั่วโมง (ECO Mode)
  • สามารถส่งภาพ LOGO ของผู้ใช้ไปที่เครื่องโปรเจ็คเตอร์ได้ โดยผ่านทางสาย LAN หรือ RS232C โดยใช้ Logo Transfer Software
  • สามารถ ควบคุมการทำงานของโปรเจ็คเตอร์ผ่านระบบเครือข่าย LAN

- ให้ความสว่างสูงถึง 2600 ANSI lumens 
- หลอดไฟมีอายุการใช้งาน 3,000 ชั่วโมง (Standard Mode) และ 5,000 ชั่วโมง (ECO Mode)
- สามารถส่งภาพ LOGO ของผู้ใช้ไปที่เครื่องโปรเจ็คเตอร์ได้ โดยผ่านทางสาย LAN หรือ RS232C โดยใช้ Logo Transfer Software
- สามารถ ควบคุมการทำงานของโปรเจ็คเตอร์ผ่านระบบเครือข่าย LANและยังรับรู้สถานะของเครื่องได้ด้วย โปรแกรม Multi Projector Monitoring & Control Software, PJLink™, Web Browser จากหน้าจอคอมพิวเตอร์
- ใช้ Transparent LCD Panel (Active matrix) ขนาด 0.63" จำนวน 3 panel อัตราส่วน 4 : 3 (1024x768) x 3 Chips 2,359,296 pixels
- ใช้หลอดไฟ ขนาด 220 Watts ชนิด UHMTM lamp
- รับสัญญาณ True XGA 1024x768 จุด 
- รองรับสัญญาณ VGA (640x480) และ SVGA (800x600) แบบ Expansion , XGA(1024x768) แบบ ปกติ และสูงสุด UXGA (1600x1200) แบบ Compression
- สามารถรับความถี่ในการสร้างภาพได้ตั้งแต่ Fh 15-91 kHz , และ fV 50-85 Hz
- ให้ Contrast ratio 500 : 1
- สามารถรับสัญญาณวิดีโอ PAL/PAL-M/PAL-N/PAL60/SECAM/NTSC/ NTSC4.43 ได้
- สามารถแสดงรายละเอียดของสัญญาณสีได้ถึง 16,777,216 สี
- มีฟังก์ชันการแก้ไข Key Stone ในแนวตั้ง ประมาณ +/- 30 องศา
- ฟังก์ชันซูมภาพได้ 3 เท่า ด้วยรีโมท (Digital Zoom)
- สามารถปรับแต่ง Key Stone แบบ Manual และแบบ ดิจิตอลอัตโนมัติ (Real Time) ได้
- มีฟังก์ชัน Index Window ในตัว (แสดงภาพเก่าและภาพใหม่ที่หน้าจอเดียวกันได้)
- ใช้ Lens :F 1.64-1.87, f 18.80-22.56 มิลลิเมตร แบบ Extra-short –throw lens เพื่อช่วยในการฉายภาพในพื้นที่ๆ จำกัด
- ฉายภาพได้ตั้งแต่ขนาด 33 นิ้ว จนถึง 300 นิ้ว ระยะทางตั้งแต่ 1.1-10.5 m
- มีภาคขยายเสียงและลำโพงในตัวขนาด 4 x 2 ซม. กำลังขับ 1 วัตต์ (โมโน)
- สามารถตั้งรหัสและป้องกันการใช้เครื่องจากผู้อื่นได้
- ฟังชั่น Back board สำหรับฉายบนกระดานดำ และ White Board
- มีระบบปรับความเข้มและสีของภาพอัตโนมัติเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น ด้วยเทคโนโลยี Daylight View Basic
- สามารถเลือกการแสดงตัวอักษรของเมนูได้สูงถึง 17 ภาษา และมีเมนูภาษาไทย
- มีระบบ Direct Power Off สามารถทำการปิด Main Power ได้ หลังจากปิดเครื่อง
- มีระบบ Initial Start Up ตั้งค่าการทำงาน เมื่อมีกระแสไฟจ่ายเข้าตัวเครื่อง
- Last Memory เริ่มตั้นจากค่าล่าสุด ก่อนตัดกระแสไฟที่จ่ายเข้าตัวเรื่อง
- Stand By ทำงานในโหมดเตรียมพร้อม (stand by mode)
- ON เปิดเครืรองทันที่ เมื่อมีกระแสไฟจ่ายเข้าตัวเครื่อง
- มีระบบตั้งเวลาปิดเครื่องอัตโนมัติ เมื่อไม่มีสัญญาณภาพได้ ตั้งแต่ 15-60 นาที
- มีระดับเสียงขณะทำงาน 29 dB(Eco Mode)
- มีช่องสำหรับต่อกับสายเคเบิลนิรภัย เพื่อป้องกันการโจรกรรม
- สามารถที่จะใช้งานได้กับแหล่งกำเนิดไฟจาก 100 VAC จนถึง 240 VAC 50/60 Hz (อุณหภูมิ 0 ~40 องศาเซลเซียส และความชื้นสัมพัทธ์ 20-80%)
- มีโหมดเตรียมพร้อมแบบประหยัด (Stand by ECO Mode) ใช้กำลังงานไฟฟ้าเพียง 0.4 วัตต์
- Safety Standards EN60950-1
- EMC Standards EN55022,EN61000-3-2,EN61000-3-3,EN55024
- ขนาดตัวเครื่อง 307 x 69 x 210 มิลลิเมตร (กว้าง x สูง x ลึก)
- น้ำหนักเครื่อง 2.3 กิโลกรัม
ช่องต่อสัญญาณ
- RGB1 IN D-sub 15-pin YPbPr 1 ชุด
- RGB2 IN D-sub 15-pin YPbPr 1 ชุด
- S-Video IN DIN 4-pin 1 ชุด
- Video IN (RCA x1) 1 ชุด,
- AUDIO IN1/2 (M3 Jack สเตอริโอ) 2 ชุด
- VARIABLE AUDIO OUT (M3 Jack สเตอริโอ) 1ชุด
- SERIAL RS232C(D-sub 9 pin) 1 ชุด
- LAN network connection (RJ-45) 1 ชุด
สามารถทำการติดตั้งได้ 4 แบบ
- วางฉายด้านหน้าแบบตั้งโต๊ะ
- วางฉายด้านหลังแบบตั้งโต๊ะ
- แขวนฉายด้านหน้าติดเพดาน
- แขวนฉายด้านหลังติดเพดาน

วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อัตราส่วนการแสดงผลของจอภาพมาตรฐานต่างๆ

เปรียบเทียบอัตราส่วนการแสดงผลของจอภาพมาตรฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจอโทรทัศน์ จอคอมพิวเตอร์ ไปจนถึงการแสดงผลแบบ HDTV ( High Definition Television ) ซึ่งการแสดงผลของภาพในปัจจุบันกำลังพัฒนาไปสู่การแสดงผลของภาพที่ให้ความคมชัดสูงมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะทำให้การแสดงผลของจอภาพรองรับมาตรฐานแบบ Full HD
จากรูป..เป็นการเปรียบเทียบการแสดงผล สำหรับจอภาพ ตามมาตรฐานต่างๆ ที่เรารู้จัก...
- Full HD (High Definition) 1920 x 1080
- HD (High Definition) 1280x720
- PC XGA (Extended Graphics Array) 1024x768
- SD (Standard Definition) PAL TV 768x576
- SD (Standard Definition) NTSC TV 720x480
- CIF (Common Intermediate Format) 352x288
- QCIF (Quarter Common Intermediate Format) 176x144
      ซึ่งแต่ละระบบ มีความแตกต่างกันของขนาดภาพ มันเกี่ยวข้องกับการบันทึกภาพวิดีโอ หรือการนำไปตัดต่อภาพวิดีโอด้วย เช่น การส่งภาพข่าวของผู้สื่อข่าว บมจ.อสมท ในขณะนี้ใช้ขนาด 720x576 และกล้องวิดีโอที่ส่งมาให้ใช้งานตามภูมิภาค ปรับมาตรฐานของภาพที่บันทึกเป็น 720x576 นั่นเอง ซึ่งอยู่ในระบบ SD ที่จะกล่าวในลำดับต่อไป





HDTV ( High Definition Television ) 
      มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า "โทรทัศน์ความคมชัดสูง" หรือ "โทรทัศน์รายละเอียดสูง"  หรือเรียกสั้นๆ ว่า HDTV เป็นคำสั้นๆ ที่แสดงให้เห็นถึงการแสดงภาพวิดีโอ โดยเลข 1080 หมายถึง จำนวนความละเอียดของเส้นในแนวนอน 1,080 เส้น และตัวอักษร p ย่อมาจาก Progressive Scan หรือ non-interlaced ในขณะที่ i ย่อมาจาก interlaced ปัจจุบันทั้ง 1080i และ 1080p เป็นฟอร์แมตความละเอียดสูงสุด ที่ใช้กันทั่วไปในการแพร่ภาพโทรทัศน์และการเก็บภาพวิดีโอ
      ดังนั้น 1080p จึงเป็นสัญญาณภาพแบบ HDTV โดยมีการรับส่งสัญญาณภาพในแบบจอกว้างหรือไวด์สกรีน ( Widescreen ) อัตราส่วน 16:9 นั่นหมายความว่า ความละเอียดของการแสดงจะผลอยู่ที่ 1920 จุดในแนวนอน และมีความละเอียด 1080 จุดในแนวตั้ง รวมเท่ากับ 1920 x 1080 หรือเท่ากับ 2,073,600 พิกเซล ( 2Mpixel หรือ 2 ล้านพิกเซล )
คำว่า Full HD และ HD-Ready มีความหมายอย่างไร
      Full HD หมายถึงการแสดงผลของจอภาพโทรทัศน์ที่ให้รายละเอียดจำนวนของเส้นในแนวนอนเท่ากับ 1,080 เส้น ทั้งแบบ 1080i และ 1080p ถือว่าเป็นแบบ Full HD สำหรับจอแสดงภาพในแนวนอนเท่ากับ 1,080 เส้น นั่นคือเป็นคำจำกัดความของจอภาพแบบ  Full HD จะแสดงผลทางแนวตั้งและแนวนอน เท่ากับ 1920x1080 จุด ซึ่งเท่ากับ 2,073,600 พิกเซล ( 2Mpixel หรือ 2 ล้านพิกเซล ) นั่นเอง
      
      HD Ready คำนี้จะใช้สำหรับจอภาพที่มีความละเอียดต่ำกว่า Full HD ไม่ว่าจะเป็นขนาดภาพ 1366x768 หรือ 1024x768 หรือ 1280x720 สำหรับจอภาพโทรทัศน์ที่โฆษณาว่าเป็น HD Ready นั้นจะรองรับการนำเข้า input HDMI รับสัญญาณภาพจากเครื่องเล่นที่เป็น Full HD ( 1080i หรือ 1080p ) เช่น..เครื่องเล่น Blu-ray มีขนาดภาพ Full HD 1920x1080 (pixels) ส่งต่อสัญญาณภาพให้โทรทัศน์ที่มีขนาดจอภาพเป็น HD เพียง 1280x720 (pixels) เครื่องรับโทรทัศน์จะทำการ Down Scale ให้เหลือแค่ Native Resolution ให้แสดงผลเท่าที่จอภาพของมันจะทำได้เท่านั้น คือจากขนาดภาพ 1920x1080 pixels (1,080 เส้น) เหลือเพียงขนาดภาพ 1280x720 (720 เส้น) เหมือนว่ารองรับสัญญาณภาพ Full HD 1920x1080 (1,080 เส้น) แต่จริงๆแล้วแสดงผลบนจอภาพโทรทัศน์เพียง 1280x720 (720 เส้น) เท่านั้น จึงเรียกว่า HD-Ready ( แปลว่า...พร้อมสำหรับ HD แต่ไม่ใช่ Full HD )
   
      ตามมาตรฐานของญี่ปุ่น ยอมรับว่าการแสดงผลแบบ 1080p ถือว่าเป็น Full HD แต่สำหรับการแสดงผลแบบ 1080i แค่ยอมรับได้ว่าเป็น HD  แต่ทางอเมริกากำหนดว่าการแสดงผลแบบ 1080i และ 1080p เป็นแบบ Full HD ส่วนการแสดงผลแบบ 720p ที่มีจำนวนเส้นในแนวนอน 720 เส้น แบบ Progressive Scan นั้นเป็นเพียง HD ธรรมดา  ( แต่ญี่ปุ่นไม่ยอมรับว่า 720p เป็น HD เพราะประเทศญี่ปุ่นมีมาตรฐานสูงและเป็นผู้พัฒนาระบบ HD เป็นประเทศแรก เขายังกล่าวว่าสามารถผลิตภาพที่มีความคมชัดสูงมากกว่านี้ ที่เรียกว่า Super Vision Television ซึ่งผมเคยไปเห็นด้วยตามาแล้ว... )
     ส่วนภาพขนาด 720i ( 720 เส้น แบบ interlaced ) ไม่ถือว่าเป็น HD แต่เป็นแบบ EDTV (Extended Definition Television) ระดับภาพแบบมาตรฐานของเครื่องเล่น DVD หรือ HD-DVD
สรุปตามขนาดการแสดงภาพแบบ HD ซึ่งเป็นสัญญาณภาพที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ได้ว่า
- ขนาดภาพแบบ Full HD เท่ากับ 1,920 x 1,080 pixels = 2,073,600 พิกเซล
- ขนาดภาพแบบ HD เท่ากับ 1,280 x 720 pixels = 921,600 พิกเซล ( ไม่ใช่ Full HD )
อัตราส่วนของจอภาพ สำหรับ HD คือ ขนาดความกว้าง x ความสูง เป็น 16 ต่อ 9 (16:9) ซึ่งเปรียบเทียบค่าได้จากการนำค่าของความกว้างกับความสูงมาหารกัน ดังนี้ 1,920/1,080 เท่ากับ 16/9 และ 1,280/720 เท่ากับ 16/9 เหมือนกันนั่นเอง





XGA ( Extended Graphics Array )
     คือคำที่เรียกการแสดงผลของจอภาพคอมพิวเตอร์ ( Monitor Computer ) ย่อมาจาก Extended Graphics Array (แปลว่าขบวนปรับภาพแบบขยาย) เป็นชนิดจอ LCD หรือ LED มีหลายมาตรฐาน คือ
VGA ( Video Graphics Array )
SVGA ( SuperVideo Graphics Array )
SXGA ( Super Extended Graphics Array )
UXGA ( Ultra Extended Graphics Array )
มีความละเอียดตั้งแต่

VGA คือ ขนาดภาพ 640x480 พิกเซล ( 4:3 )
SVGA คือ ขนาดภาพ 800x600 พิกเซล ( 4:3 )
XGA คือ ขนาดภาพ 1024x768 พิกเซล ( 4:3 )
SXGA คือ ขนาดภาพ 1280x1024 พิกเซล ( 4:3 )
SXGA+ คือ ขนาดภาพ 1400x1050 พิกเซล ( 4:3 )
UXGA คือ ขนาดภาพ 1600x1200 พิกเซล ( 4:3 )
แล้วยังมีขนาดอัตราส่วนอื่นๆ อีก ที่ขึ้นต้นด้วย W เรียกว่า Wide Screen (จอกว้าง) คือ
WVGA คือ ขนาดภาพ 840x480 พิกเซล ( 16:10 )
WXGA คือ ขนาดภาพ 1280x800 พิกเซล ( 16:10 )
WXGA+ คือ ขนาดภาพ 1440x900 พิกเซล ( 16:10 )
WSXGA คือ ขนาดภาพ 1680x1050 พิกเซล ( 16:10 )
WUXGA คือ ขนาดภาพ 1920x1200 พิกเซล ( 16:10 )
WXGA (HD-Ready) คือ ขนาดภาพ 1366x768 พิกเซล ( 16:9 )
WSVGA (Full HD) คือ ขนาดภาพ 1920x1080  พิกเซล ( 16:9 )





SDTV ( Standard Definition Television ) 
        โทรทัศน์ระบบอนาล็อกเดิม มีการแสดงภาพอยู่ 3 ประเภท คือ NTSC, PAL, SECAM ซึ่งการส่งภาพโทรทัศน์นี้เราเรียกว่า SD หรือ SDTV ( Standard Definition Television ) เรียกชื่ออย่างเป็นทางการว่า "โทรทัศน์ความชัดเจนมาตรฐาน" เรามาวิเคราะห์ที่การแสดงผลบนหน้าจอโทรทัศน์กัน ดังนี้
        
NTSC (National Television System Committee)______60 Field/second , 30 Frame/second , 525 Line/Frame 
PAL (Phase Alternate Line)______________________50 Field/second , 25 Frame/second , 625 Line/Frame 
SECAM (Sequential Color and Memory)____________50 Field/second , 25 Frame/second , 625 Line/Frame
ระบบ NTSC
      กล่าวคือระบบ NTSC จะถูกบันทึกภาพมีรายละเอียดทางแนวนอน 858 จุด (Pels) และใช้เส้นสแกนภาพทางแนวตั้ง 525 เส้น เสมือนมีจุดภาพทางแนวตั้งเท่ากับ 525 จุด แต่ในการแสดงภาพจริงที่หน้าจอ ( Active Area ) ให้รายละเอียดของภาพทางแนวนอน 720 จุด และทางแนวตั้งเพียง 480 จุดเท่านั้น จะให้รายละเอียดภาพรวม ( 720 x 480 ) เท่ากับ 345,600 จุด มีอัตราส่วนของการแสดงภาพ 1.5:1 ( 3:2 )
ระบบ PAL และ SECAM      แต่ระบบ   PAL และ SECAM มีการแสดงภาพจริงที่หน้าจอให้รายละเอียดของภาพทางแนวนอน 720 จุด ( มีเครื่องรับโทรทัศน์บางยี่ห้อแสดงรายละเอียดได้ 768 จุด ) และแสดงรายละเอียดของภาพทางแนวตั้ง 576 จุด ให้รายละเอียดภาพรวม ( 720 x 576 ) เท่ากับ 414,720 จุด ( หรือ 768 x 576 = 442,368 จุด ) มีอัตราส่วนของการแสดงภาพใกล้เคียงมาตรฐาน 4:3
หากจำแนกการแสดงผลของจอภาพ จะสรุปได้ว่า
- ระบบ NTSC มีขนาดภาพจริง 720 x 480
- ระบบ PAL และ SECAM มีขนาดจริง 768 x 576 หรือ 720 x 576

อัตราส่วนของการแสดงภาพ ( Accept Ratio ) ที่มีมาตรฐาน 4:3 ( 1.33:1 ) จริงๆก็คืออัตราการแสดงผลที่หน้าจอของคอมพิวเตอร์ มีอัตราส่วนอยู่ที่ 640x480, 800x600, 1024x768 ซึ่งเราจะพบเห็นได้บ่อยๆ และอัตราส่วนของภาพนี้ไม่สามารถบอกได้ว่าภาพมีความคมชัดเท่าใด แต่ความละเอียด ( Resolution ) ต่างหากจะเป็นตัววัดความคมชัดของการแสดงภาพ





CIF (Common Intermediate Format)         CIF คือ ขนาด 352x288 พิกเซล ที่ใช้มาตรฐานการบีบอัด H.261 จาก ITU (International Telecom Union) บีบอัดทั้งภาพและเสียงให้มีขนาดที่ลดลงมากที่สุดแต่ให้ภาพชัดที่สุด  ซึ่งใช้ในการบันทึกภาพของกล้องวงจรปิด CCTV และเป็นคุณสมบัติของการถ่ายภาพวิดีโอบนโทรศัพท์มือถือ
QCIF (Quarter Common Intermediate Format)         QCIF คือ ภาพขนาด 176x144 พิกเซล  โดย Q ย่อมาจาก Quarter = 1/4  และ QCIF  คือขนาดภาพ 1 ใน 4 ของแบบ CIF ใช้มาตรฐานการบีบอัด H.261 โดยฟอร์แมตที่ได้เป็นสกุลไฟล์ .3GPP เช่นเดียวกันกับขนาดไฟล์วิดีโอ 352x288 พิกเซล อัตราเล่นต่อเนื่อง 15 เฟรม/วินาที
      SubQCIF คือขนาดไฟล์วิดีโอ 128x96 พิกเซล อัตราเล่นต่อเนื่อง 15 เฟรม/วินาที 
      
      โดยปกติแล้วสายตาคนเรามองภาพเคลื่อนไหวได้ 24 เฟรม/วินาที ภาพจึงจะไม่กระตุก แต่โทรศัพท์มือถือปัจจุบันจะอยู่ที่ 15 เฟรม/วินาที ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับการประมวลของโทรศัพท์มือถือด้วยที่จะทำให้การแสดง ภาพวิดีโอไม่กระตุก

      โทรศัพท์มือถือที่มีคุณสมบัติในการถ่ายวิดีโอแต่ละรุ่นจะมีขนาดความละเอียดของภาพสูงสุดแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับราคา ยิ่งแพงก็ยิ่งมีคุณสมบัติในการทำงานสูง ดังนั้นขนาดความละเอียดของภาพนั้นสูงแล้วล่ะก็ จะทำให้ภาพวิดีโอที่ได้นั้นมีคุณภาพยิ่งขึ้น

วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

Panasonic Pro Display Solutions



พานาโซนิค รุกตลาดผลิตภัณฑ์ Pro Display Solutions หวังขึ้นแท่นผู้นำตลาด โชว์ศักยภาพสินค้ารองรับผู้ใช้ทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมเปิดตัวจอพลาสม่า 152 นิ้ว และโปรเจคเตอร์ 3D ครั้งแรกในเอเชีย...

นายโทชิฮิโร มาจิมะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พานาโซนิค ซิว เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์โปรดิสเพลย์ โซลูชันส์ ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่บริษัทให้ความสำคัญในปีนี้ จากการคิดค้นนวัตกรรมและพัฒนาเทคโนโลยีเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน รวมทั้งตอบสนองความต้องการในตลาดผลิตภัณฑ์กลุ่มดิสเพลย์ โซลูชันส์ ในฐานะผู้นำผลิตภัณฑ์กลุ่มโปรดิสเพลย์ โซลูชันส์เต็มรูปแบบ ซึ่งมีสินค้าตั้งแต่โปรเจคเตอร์ จอพลาสม่า และชุดประชุมทางไกล ซึ่งในปีนี้จะมีสินค้ามากกว่า 70 รุ่น ทำตลาดในประเทศไทย ภายใต้ฟังก์ชั่นการใช้งานสำหรับภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจขนาดใหญ่ และโฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์
นางสาวอนุรัตน์ จี้เพชร ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์โปรดิสเพลย์ โซลูชันส์ บริษัท พานาโซนิค กล่าวว่า ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ดิสเพลย์สูงขึ้นตามความหลากหลายของกลุ่มผู้ใช้งาน สำหรับการทำตลาดผลิตภัณฑ์กลุ่มดังกล่าว บริษัทมุ่งเน้นให้ผู้บริโภคเห็นถึงความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ รวมถึงการใช้งานในแต่ละความต้องการ

ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์โปรดิสเพลย์ โซลูชันส์ ที่จะทำตลาดในปีนี้ พานาโซนิคได้แบ่งผลิตภัณฑ์ออกตามรูปแบบการใช้งาน ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ Pro Largest Display, กลุ่ม Pro 3D Entertainment Display เช่น เทคโนโลยี 3D จากพานาโซนิค อาทิ โฮมเธียร์เตอร์ 3D Short Throw Projector แบบอินเตอแอคทีฟ, กลุ่ม Pro Smart Solutions Display เช่น ชุดประชุมทางไกล หรือ HD Video Conference โปรเจคเตอร์ไวร์เลสในตัว ทำให้ใช้ร่วมกับเครื่องควบคุมสัญญาณไวร์เลสและระบบบปฏิบัติการไอโอเอส , กลุ่ม Pro Panorama Display เช่น ผลิตภัณฑ์เพื่อการเชื่อมต่อโปรเจคเตอร์หลายเครื่องแบบปราศจากขอบ และกลุ่ม Pro Monitoring and Controlling Display นำเสนอ Projector control และ PDP control & Monitoring Software Solution ผลิตภัณฑ์ควบคุมการทำงานของดิสเพลย์ โปรดักส์ผ่านระบบแลน (LAN) โดยสามารถควบคุมจอพลาสม่าและแอลซีดีได้มากถึง 2,048 เครื่อง

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัว โปรเจคเตอร์รุ่น PT-DZ21K Series สินค้าในกลุ่ม Pro Largest Display ครั้งแรกในเอเชีย ที่มาพร้อมเทคโนโลยีให้ความสว่าง 20,000 ลูเมนส์ (Lumens) ความละเอียดภาพ WUXGA (1920x1200 พิกเซล) ให้ความคมชัด 10,000:1 สามารถฉายภาพในแบบ 3D และ 3D พลาสม่า ขนาด 152 นิ้ว ใหญ่ที่สุดในโลก สามารถแสดงภาพได้ละเอียดถึง 4K2K (4 เท่าของฟูลเอชดี) รองรับการนำเสนอภาพแบบ 3D และรองรับสัญญาณ 3D ฟูลเอชดี (3D Full HD) จากพอร์ตเอชดีเอ็มไอ (HDMI port).

โดย: ทีมข่าวไอทีออนไลน์
22 กุมภาพันธ์ 2555, 11:30 น.

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

โปรเจคเตอร์ HD เครื่องแรกของโลกบนอุปกรณ์ APPLE


ทำไมต้อง Epson MG-850HD?
ด้วยช่องเสียบเฉพาะอุปกรณ์สำหรับ Apple แบบพกพาของคุณ โปรเจคเตอร์เอนกประสงค์เครื่องนี้ ควบคุมด้วยเทคโนโลยี 3LCD ของเอปสัน ให้การฉายภาพมีคุณภาพสูง ไม่มีข้อบกพร่อง เหมาะสำหรับงานนำเสนอและฉายภาพยนตร์เพื่อความบันเทิงในบ้าน

สามารถใช้งานได้กับ iPod/iPhone/iPad
  • สนุกกับประสบการณ์ ด้วยการออกแบบพิเศษ สามารถแบ่งปัน สไลด์รูปภาพ หรือวิดีโอในการนำเสนองานที่เก็บไว้ในอุปกรณ์ Apple ของคุณ คุณสามารถเข้าถึงและควบคุมการเล่นของเนื้อหาของคุณโดยการใช้รีโมท เมื่อคุณนำเสนองานเสร็จ เพียงคุณล็อคจากอุปกรณ์ Apple ของคุณ ทำให้ไฟล์ของคุณยังคงได้รับการป้องกันจากการเล่น

  • อุปกรณ์ Apple รองรับ iPad รุ่นแรก และ iPad 2, ทุกรุ่นของ iPhone, iPod touch (รุ่นแรกถึงรุ่น 4) และ iPod Nano (รุ่น 3 ถึงรุ่น 5) เพลิดเพลินไปกับคุณสมบัติทั้งหมดที่มอบให้ เพื่อความมั่นใจได้ว่าอุปกรณ์ของคุณกำลังทำงานกับเวอร์ชั่นของ iOS รุ่นล่าสุด

เพลิดเพลินกับการใช้งานเอนกประสงค์
  • การนำเสนองานสามารถทำได้ทุกที่ในห้อง ด้วยการปรับภาพสี่เหลี่ยมคางหมูในแนวนอนที่ใช้งานง่าย การแก้ไขบนจอภาพสามารถทำได้ง่าย รวดเร็วและแม่นยำ เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นใช้งานและผู้ใช้งานระดับมืออาชีพ

  • ด้วยการตรวจสอบและปรับภาพสี่เหลี่ยมคางหมูแนวตั้งอัตโนมัติ ช่วยลดความสิ้นเปลืองเวลาในการปรับภาพและขัดจังหวะการนำเสนองานของคุณ คุณสมบัตินี้ตรวจสอบความผิดเพี้ยนของภาพสี่เหลี่ยมคางหมูแนวตั้งของโปรเจคเตอร์โดยอัตโนมัติและแก้ไขทันที

ปรับภาพอัตโนมัติ
  • หมดความกังวลกับสวิทซ์ไฟหรือม่านขนาดใหญ่ เพื่อความมั่นใจในการฉายภาพที่คมชัดและสีสันสดใสสำหรับผู้รับชม MG-850HD สามารถตรวจสอบระดับแสงโดยรอบในห้องของคุณโดยอัตโนมัติ เพื่อปรับภาพที่ฉายอยู่ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในแต่ละห้อง
 

DIRECT USB PLAYBACK สำหรับภาพถ่าย
  • เพียงแค่โหลดภาพถ่ายของคุณเข้าไปในอุปกรณ์หน่วยความจำ USB และเสียบเข้าไปกับโปรเจคเตอร์ได้ทันที สามารถรับชมภาพบนจอภาพความละเอียดสูง 1280 x 800 WXGA ภาพสีเสมือนจริงหรืออาจจะฉายไปยังผนังที่ว่างเปล่าเพื่อใช้เป็นของประดับตกแต่งเคลื่อนที่หรือประสานงานกับผู้ใช้เพื่อการนำเสนองานของคุณ
 

สมบูรณ์แบบสำหรับห้องเรียน
  • ด้วยหลอดไฟ E-TORL มีอายุการใช้งานยาวนาน ให้ความสว่างสูงถึง 2800 lumens พร้อมช่องเสียบไมโครโฟนและลำโพงคู่กำลังขับ 10W 
    MG-850HD เหมาะสำหรับการศึกษาและสามารถใช้แทนระบบ PA การเชื่อมต่อโดยตรงกับอุปกรณ์ฉายภาพ ELPDC06 และ ELPDC11 ของเอปสัน ทำให้สื่อการสอนต่างๆ เป็นไปอย่างง่ายดาย

 
คุณสมบัติในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
  • หลอดไฟ E-TORL ที่มาพร้อมกับเครื่องออกแบบเพื่อให้ใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
  • ใช้กระแสไฟฟ้าเพียง 0.3 วัตต์ในโหลดสแตนด์บาย
  • เลนส์โปรเจคเตอร์ ใช้เลนส์ที่ปลอดสารตะกั่ว
  • ตัวเครื่องทำจากพลาสติกไม่พ่นสี ลดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม
  • ไม่มี Chlorine หรือ Bromine ประกอบอยู่ใน halogen flame retardants ที่ใช้ในตัวเครื่องที่ทำจากพลาสติก
Better products for a better future
  • ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนงานด้านสิ่งแวดล้อมของเอปสันได้ที่ www.epson.com/environment

ที่มา

http://www.epson.co.th